13 มิถุนายน, 2552

เริ่มต้นที่ความถนัดก่อนทำงาน...ฟรีแลนซ์

ในชีวิตของเราตั้งแต่เกิดขึ้นมานั้น...คุณเคยสังเกตตัวเองสักครั้งหรือไม่เราชอบอะไร..ทำอะไร หากว่าคุณรู้ตัวเองแล้วว่าคุณชอบอะไรนั่นแสดงว่าคุณค้นหาตัวเองพบแล้ว แต่สำหรับคนอื่นๆ ที่ยังไม่รู้ไม่ได้หมายความว่าในชีวิตนี้คุณทำอะไรไม่ประสบความสำเร็จเพียงแต่ว่าคุณอาจจะต้องอาศัยเวลา..... อีกสักนิดก่อนเพื่อรอจังหวะของชีวิต
คุณอาจจะค้นหาความเป็นตัวคุณ ในอีกไม่ช้านี้ก็ได้

1. ความเก่ง ความถนัด ที่เกิดจากความรัก

ความรักความชอบที่ได้ทำในสิ่งที่ตนเองรัก ไม่ว่าใครคงปฎิเสธไม่ได้ในทุกๆ เรื่องไม่ว่า เรื่องเรียน เรื่องรัก เรื่องการทำงาน หากได้ทำในสิ่งที่ตนเองชอบแล้ว สิ่งนั้นหรืองานนั้นๆ ย่อมจะออกมาดี มีคุณภาพ เพราะคนทำใส่ใจและทำด้วยความรัก เมื่อลองกลับด้าน หากเราทำด้วยความไม่เต็มใจ งานคงออกมาแย่และไม่มีคุณภาพ

เมื่อคุณรักใครสักคน คุณย่อมจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้เขารัก คุณย่อมจะหาสิ่งที่คนรักอยากได้ ถึงจะมีความยากลำบาก แต่ว่าคุณก็จะทำ เหมือนกับการได้ทำงานที่ตนเองรัก การทำงานก็เหมือนกัน คุณย่อมจะหาความรู้ใหม่ๆ เทคนิค ถามผู้รู้ เพื่อเพิ่มประสบการณ์ให้ตนเองอยู่เสมอ ทุ่มเทให้กับงาน เก็บรายละเอียดอย่างดี งานออกมาสวย และหากคุณจะต้องเอางานที่ส่งไปกลับมาแก้ไขคุณก็จะไม่เซ็ง ยังเก็บเอาคำติหนิติเตียนมาปรับงานและเป็นการเพิ่มประสบการณ์ให้แก่ตนเองอีกด้วย

2. ประสบการณ์การทำงาน
เคยสังเกตไหมว่าเวลาคุณไปทำงานที่ไหนคุณต้องเหนื่อยกับการปรับตัวต้องเหนื่อยกับการเรียนรู้งาน ในส่วนของบริษัทก็เช่นกันมักจะเสียดายคนทำงานมาแล้วหลายปีเพราะรู้งานหมดแล้วแทบไม่ต้องบอกอะไร เมื่อรับคนเข้ามาใหม่บริษัทก็ต้องเสียเวลาในการสอนงานใหม่ ทำให้การทำงานล่าช้า เพิ่มภาระให้กับองค์กร
ตรงนี้ชี้ให้เห็นว่าคุณทำงานด้านสายนี้มาเป็นเวลานานแล้วรู้ทุกซอกทุกมุมเวลาเจอปัญหาก็รู้วิธีการแก้ปัญหาหมดแล้ว การรับมือกับปัญหา การเผชิญกับปัญหาเป็นเรื่องง่าย ฉะนั้นบริษัทที่จ้างคนเข้าทำงาน จึงอยากได้เฉพาะคนที่มีประสบการณ์ เวลาสอนงานก็ให้เวลาไม่นาน ตัวอย่างเช่น พนักงานบัญชีทำงานที่บริษัทนี้มาเป็นเวลา 10 ปี มีความละเอียดในการทำงาน ซื่อสัตย์ เจอปัญหาไหนเข้ามารับมือกับมันได้หมด หากคุณออกมาทำงานฟรีแลนซ์ หรืออกไปสมัครงานที่ไหนระยะเวลาในการทำงานจะเป็นตัวการันตีคุณ มีเพียงเหตุผลของบางบริษัทที่ขัดแย้งกันคือ รับเฉพาะเด็กที่จบใหม่ เพราะต้องการคนที่มีไฟในการทำงาน และจ้างในอัตราที่น้อยกว่าผู้มีประสบการณ์


3. ความถนัดที่มาจากการฝึกฝน จากคำที่ว่า “คนเก่งมักจะแพ้คนที่ขยัน” สำหรับข้อความนี้สามารถใช้ได้จริงๆ เนื่องจากว่าคนเก่งมักจะคิดว่าตัวเองเก่งและมักจะประมาท เลินเล่อ ลำพองตัว ส่วนคนที่รู้ว่าตัวเองไม่เก่ง กลับขยันหาความรู้ใส่ตัว ฝึกฝนตนเองอยู่เสมอ สิ่งไหนทำไม่ได้ก็ฝึกทำจนได้ ทำเป็น สิ่งไหนทำไม่เป็นก็หัดทำจนเกิดความชำนาญ

การทำงานก็เหมือนกันคงปฏิเสธไม่ได้ว่าต่อให้คุณให้เก่งขนาดไหน หากไม่ฝึกฝนหรือหาความรู้ใหม่ๆ ใส่ตัวตลอดคงแย่แน่ๆ ต่อให้คุณฉลาดมากคุณก็อาจจะแพ้ได้ การฝึกฝนตนเอง จึงเป็นสิ่งที่สามารถนำไปใช้ได้ทุกอย่างจริงๆ ไม่ว่าการเรียน เล่นกีฬา หรือว่าทำงาน หัวข้อนี้จึงเปรียบเสมือนหัวใจ ของการทำงานทุกอย่างเลยก็ว่าได้ การทำงานจะให้ประสบความสำเร็จในครั้งแรก ที่ทำคงไม่ใช่ แต่อาศัยการฝึกฝน

เขียนหนังสือไม่ดี เขียนใหม่ ทำไปเรื่อยๆ เชื่อว่าในอนาคตจะเป็นนักเขียนที่ดีได้


เรียนหนังสือไม่เก่ง ต้องอาศัยการอ่านหนังสือ ฝึกฝนทำโจทย์ต่างๆ จนชำนาญข้อสอบออกมาอย่างไรผ่านฉลุย

ไปทำงานวันแรกก็เกิดความท้อ เพราะทำไม่ได้ ผ่านไปสัก 1 เดือนคุณสามารถทำได้ นั่นเป็นเพราะเกิดทักษะที่ได้ฝึกฝนทำทุกวัน อีก 3 เดือน 6 เดือน 1 ปี ลองคิดดูว่าคุณจะทำงานได้และชำนาญหรือไม่ เหล่านี้จึงมาจากหลักการเดียวกัน

“ยกตัวอย่างเพื่อนสนิทได้ทำงานในหน้าที่บัญชีในองค์กรเล็กๆ และเป็นบริษัทที่ทำเกี่ยวกับงานกระจก อลูมิเนียม เนื่องจากว่าเป็นการทำงานแบบครอบครัว Home office คือบางครั้งคุณจะต้องทำงานนอกเหนือจากการตำแน่งที่ตัวเองรับผิดชอบ
เจ้านายบอกว่าคุณต้องจำชื่ออุปกรณ์ทุกชนิดให้ได้ พอไปทำงานได้แค่ 3 วัน เจ้านายคาดหวังการทำงานไว้สูงมาก เพื่อก็โทรมาโอดครวญว่า ใครจะไปทำได้ ใครจะไปรู้ ตอนนี้เวลาผ่านไปเป็นปีที่ 3 แล้ว เพื่อก็ยังทำงานที่เดิม แต่อยู่ในตำแหน่งที่ใหญ่ขึ้น อุปกรณ์ต่างๆ เป็นยังไง ชื่ออะไร รู้หมด ทำงานเกือบทุกตำแหน่ง บัญชี จัดซื้อ การเงิน สต๊อก และนี่เกิดจากการได้อยู่กับมัน ฝึกฝน จนเกิดความชำนาญ”

4 ทฤษฎีการเรียนจบมาจากสถาบันการศึกษาต่างๆ ทุกสถาบันมีมาตรฐานการศึกษาที่สามารถบอกได้ว่านักศึกษาที่จบจากสถาบันนี้ไปแล้วสามารถนำความรู้ความสามารถที่ได้ร่ำเรียนจากสถาบันแห่งนี้ไปประกอบอาชีพ ได้อย่างแน่นอน ฉะนั้นความรู้ต่างๆ ที่ได้ร่ำเรียนมาถือว่าเป็นทฤษฎี และคุณจะใช้ความรู้นี้นำไปสู่การปฏิบัติงานในหน่วยงานต่างๆ
ความถนัดในด้านนี้ถือเป็นกุญแจสำคัญ สำหรับคนที่จบใหม่และค้นหาความถนัดของตนเองยังไม่เจอ แต่เชื่อได้ว่าความรู้ความสามารถที่คุณได้ร่ำเรียนมาจะทำให้คุณรู้แนวทางของตนเองว่าจะทำอะไร จะก้าวต่อไปในสายอาชีพไหน นอกจากทฤษฎีที่ได้ร่ำเรียนมา สิ่งที่คุณจะต้องหาเพิ่มเติมคือประสบการณ์ เพราะการทำงานกับการเรียนหนังสือแตกต่างกันตรงที่ การทำงานเป็นการลงปฏิบัติจริง เจอกับปัญหาจริง และการแก้ปัญหาด้วยตนเอง และในครั้งต่อๆไป คุณก็จะเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาได้ การเลือกทำงานตามที่เราเรียนจบมาก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะในปริญญาที่ได้มากับการได้ลงมือปฏิบัติจริงจะทำให้ทราบว่าเราจะสามารถอยู่ในอาชีพนี้ต่อไปได้หรือไม่


มองดูแล้วมันอาจจะไม่เกี่ยวกับงาน ฟรีแลนซ์สักเท่าไหร่ แต่เมื่อมองดูแล้ว

สำหรับคนที่ยังไม่มีประสบการณ์การทำงานเลยอาจจะทำให้มองภาพออกว่า เมื่อมาทำงานแล้วจะปรับตัวเองให้ทำงานในด้านใด
สำหรับคนที่ทำงานแล้วอยากจะปรับเปลี่ยนสายงานเดิม จะทำให้มองภาพออกว่า เราควรจะเดินตามแนวทางใด
ความอิสระที่คุณใฝ่ฝันอยากจะสัมผัสกับมันคงไม่ไกลเกินจะเอื้อมถึง หากเราปรับเปลี่ยนตัวเองบ้าง มองลักษณะความเป็นไปได้อย่างแท้จริง คุณก็จะมองเห็นว่าคุณเหมาะกับการทำงานในแบบไหน และแบบที่มันเหมาะกับตัวคุณมากที่สุด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น