09 มิถุนายน, 2552

จบใหม่...เริ่มต้นประสบการณ์ด้วยงานฟรีแลนซ์



เศรษฐกิจ การเมือง ความวุ่นวายในสังคมปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของคนในสังคมเป็นอย่างมาก เป็นประเด็นที่ทุกคนพูดถึงมากที่สุดในปัจจุบัน ไม่ว่าจะทำอะไร จะไปไหนใครๆ ก็พูดถึง
“คนเสื้อเหลือง คนเสื้อแดง คนตกงาน เศรษฐกิจย่ำแย่ พ่อแม่ไม่รัก อกหักฆ่าตัวตาย ฯลฯ” (มั่วไปบ้าง)

ทุกอย่างย่ำแย่มาก ประเด็นเรื่องเศรษฐกิจ ที่ทำให้คนที่กำลังตกงานหลายๆ คนต่างวิตกกังวลในเรื่องปากท้องของตนเอง และบริษัทหลายๆ ก็กำลังประสบปัญหา ผลที่ตามมาก็คือการปลดคนงานออก อีกหลายๆ บริษัทที่ต้องปิดตัวลง จำนวนคนตกงานจึงเพิ่มจำนวนมากขึ้น และบัณฑิตที่จบออกมาก็กำลังจะตกงานเพิ่มจำนวนขึ้นอีก หลายคนมีวิธีที่แก้ไขแตกต่างกันออกไป บางคนหางานใหม่ หาอาชีพอิสระ ทำงานรับจ้างทั่วๆ ไป

ทำให้คิดถึงตัวเองครั้งเรียนจบปริญญา เมื่อปี พ.ศ. 2547 เรียนจบมาก็ต้องรอตกงานไปก่อน หรือไม่ก็คงต้องเลือกเรียนต่อ เพื่อนๆ ก็พากันออกสมัครงานแม้งานที่สมัครนั้นจะไม่ตรงกับสายที่เรียนมาเลยก็ไปสมัคร บางคนไปเป็นพนักงานขาย แคชเชียร์ ทำงานออฟฟิต ส่วนตัวเราเป็นกังวลมากในเรื่องการค้นหาตัวเอง เพราะเนื่องจากว่าเรียนจบปริญญามาแล้ว ป่านนี้ยังไม่รู้เลยว่าเราชอบอะไร?

การจับต้นชนปลายไม่ถูกจึงคิดในใจว่า การเรียนของเราตัวไหนได้เกรดดีที่สุด เราคงชอบอันนั้นแหละ เมื่อกลับไปดูผลการเรียน ปรากฏว่าตัวที่ได้เกรดดีที่สุด เป็นวิชาเกี่ยวกับงานวิจัย จากการเรียนวิจัยทั้งหมด 3 ตัว ได้เกรด Aหมด อันนี้แหละคือสิ่งที่เราชอบ (คิดไปเอง) โชคดีที่ว่าเราฝึกงานสายนี้พอดีก็ทำมาเรื่อย 3 – 4 ปี

จากการทำงานในโครงการวิจัยหลายๆ ตำแหน่ง เลขาฯ บัญชี ผู้ประสานงาน ผู้ช่วยโครงการ เก็บข้อมูล ทำข้อมูล ลงพื้นที่ รับงานมาเรื่อยๆ จนเริ่มชำนาญ จากนั้นก็ลองเสนอโครงการวิจัยเอง จนเป็นหัวหน้าโครงการในที่สุด

ยุครุ่งเรืองที่สุดตอนนั้นรับงานเดือนละ 6 – 7 โครงการ พยายามประคับประคองและบริหารจัดการเพื่อไม่ให้งานในส่วนที่เรารับผิดชอบขาดตกบกพร่อง การทำงานวิจัยเป็นงานที่เหนื่อย หนัก ยาก ต้องมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แทบจะทุกเวลาต้องคิดถึงงานตลอด

ในแง่ของความอิสระ มันเป็นสิ่งที่ใครไม่ต้องมาบอกว่าคุณต้องทำโน่น ทำนี่ วันนี้ทำอะไร แต่เมื่อถึงกำหนดส่งงานคุณต้องส่ง ด้วยสัญญา ระยะเวลา หากไม่ส่งคุณก็จะไม่ได้เงินงวดต่อๆ ไป

ฟังดูเป็นสิ่งที่เครียดและน่าเบื่อมาก จึงเปลี่ยนแปลงตัวเองมาทำงานประจำ คิดว่าน่าจะเป็นงานสบายๆ ไปเช้าเย็นกลับ ไม่ต้องคิดอะไรมาก สิ้นเดือนมาก็รับเงินแต่เมื่อได้มาสัมผัสจริงๆ แล้วมันไม่ใช่อย่างที่เราวาดฝันเอาไว้ ต้องมีการปรับตัวเองมาก ตั้งแต่เวลาการทำงาน มีเพื่อนร่วมงานแต่ละคนก็มีนิสัยแตกต่างกันจะต้องปรับตัวให้ได้ เจ้านายเจ้าอารมณ์ เราจะต้องยอมรับตรงนี้ให้ได้ เพราะต้องเจอทุกๆ วัน 1 ปีเต็มๆ ในการทำงานประจำ เหนื่อยใจกับเรื่องรอบตัวมากกว่าการทำงาน

การผ่านงานมาทั้งสองประเภท ทำให้เรียนรู้ความแตกต่างของระบบการทำงานทั้งสองระบบ และเริ่มรู้ว่าตนเองเหมาะสมกับงานประเภทไหน จึงกลับมาทำงานฟรีแลนซ์เหมือนเดิม

ได้ความสบายใจและความอิสระกลับมา ที่นำมาเล่าให้ฟังไม่ได้บอกว่าให้ทุกคนมาทำฟรีแลนซ์ หรือฟรีแลนซ์ดีที่สุด แต่อยากให้คุณลอง.. เพื่อให้รู้ว่าความสุขจากการทำงานเป็นอย่างไร

การเริ่มต้นก้าวเดินบนถนนสายฟรีแลนซ์ จากคนที่เฝ้าค้นหาตัวเอง ตอนนี้ก็ยังค้นหาตัวเองไม่ได้ว่าชอบอะไร แต่สิ่งที่ได้รู้ก็คือ หลงรักการทำงานในระบบการทำงานฟรีแลนซ์ จากประสบการณ์ที่ได้ ผ่านมาแล้วทั้งงานประจำและงานฟรีแลนซ์ คงไม่ขอฟันธงว่า การทำงานระบบไหนดีกว่ากัน แต่อยากให้ผู้อ่านลองมาสัมผัสด้วยตัวเอง เริ่มจากฟรีแลนซ์เล็กๆ ที่ค่อยๆ ก้าวเดินไปอย่างช้าๆ เริ่มก่อประสบการณ์การทำงานไปเรื่อยๆ อนาคตการเป็นฟรีแลนซ์มืออาชีพคงไม่ไกล เกินความฝันอย่างแน่นอน

“รวยเร็วด้วยฟรีแลนซ์” ขอเป็นส่วนหนึ่งที่จะสร้างฟรีแลนซ์ใหม่ๆ เข้ามาในวงการ

ด้วยประสบการณ์ ที่อยากถ่ายทอดให้ทุกคน คงไม่มีคำว่าสายสำหรับการเริ่มต้น จงก้าวเดินไปพร้อมๆ กัน ก้าวไปสู่ถนนสายอิสระ ที่ไม่มีขีดจำกัดในเรื่องเงินๆ ทองๆ จงจำไว้ว่าหากคุณทำมาก ได้มาก ทำน้อยได้น้อย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น